วันที่ 28 ธันวาคม 2555
●▂● แฟ้มสะสมผลงานในรายวิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2555 ●▂●
วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่8
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (EAED2204)
วันที่ 21 ธันวาคม 2555
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่7
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (EAED2204)
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
วันที่ 14 ธันวาคม 2555
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
บรรยากาศในการเรียน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียนและตั้งใจฟังงานที่อาจารย์สั่ง
-เพื่อนๆตั้งใจเรียนและตั้งใจฟังงานที่อาจารย์สั่ง
การนำสิ่งที่ได้รับไปปรับใช้
-ได้รับความรู้ในเรื่องของการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์และมาตราฐานคณิตศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ประกอบการเรียนได้
-ได้รับความรู้ในเรื่องของการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์และมาตราฐานคณิตศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ประกอบการเรียนได้
งานที่ได้รับมอบหมาย
-1.ให้ทำงานโดยใช้กระดาษและมีสิ่งที่ต้องทำดังนี้
- รูปวงกลมที่ 1 เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้ว
- รูปวงกลมที่ 2 เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้ว
- รูปวงกลมที่ 3 เส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว
-2. งานกลุ่ม(กราฟ)ที่ร่างไว้ให้นำมาส่งในสัปดาห์ต่อไป
-1.ให้ทำงานโดยใช้กระดาษและมีสิ่งที่ต้องทำดังนี้
- รูปวงกลมที่ 1 เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 นิ้ว
- รูปวงกลมที่ 2 เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้ว
- รูปวงกลมที่ 3 เส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว
-2. งานกลุ่ม(กราฟ)ที่ร่างไว้ให้นำมาส่งในสัปดาห์ต่อไป
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่6
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (EAED2204)
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
งานที่ได้รับมอบหมาย
วันที่ 7 ธันวาคม 2555
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
เนื้อหาที่เรียน
- อาจารย์ให้นักศึกษาส่งการบ้าน
- อาจารย์ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ11คน
- อาจารย์อธิบายว่ากล่องสามารถนำมาสอนคณิตศาสตร์ได้อย่างไรบ้าง
- อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละคนบอกว่ากล่องที่ตนนำมานั้น นักศึกษาเห็นว่าเป็นกล่องอะไร
*** ดิฉันเห็นกล่องที่ได้นำไปเป็น "บ้าน" ***
- อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มนำกล่องไปต่อเรียงกัน โดยมีกติกาดังนี้
กลุ่มที่ 1 ให้นักศึกษาคุยกัน วางแผนได้ว่าจะสร้างมาประกอบกันเป็นรูปอะไร
กลุ่มที่ 2 ให้นักศัหษาวงกล่องที่ละคน ห้ามคุยกัน
กลุ่มที่ 3 ให้นักศึกษาสามารถคุยกันได้ แต่ต้องวางกล่องทีละคน (กลุ่มข้าพเจ้า)
- อาจารย์ให้คิดสื่อคณิตศาสตร์ จากเศษวัสดุเหลือใช้มาทำเป็นสื่อ
*** ผลงานของแต่ละกลุ่ม ***
- อาจารย์ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ11คน
- อาจารย์อธิบายว่ากล่องสามารถนำมาสอนคณิตศาสตร์ได้อย่างไรบ้าง
- อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละคนบอกว่ากล่องที่ตนนำมานั้น นักศึกษาเห็นว่าเป็นกล่องอะไร
*** ดิฉันเห็นกล่องที่ได้นำไปเป็น "บ้าน" ***
- อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มนำกล่องไปต่อเรียงกัน โดยมีกติกาดังนี้
กลุ่มที่ 1 ให้นักศึกษาคุยกัน วางแผนได้ว่าจะสร้างมาประกอบกันเป็นรูปอะไร
กลุ่มที่ 2 ให้นักศัหษาวงกล่องที่ละคน ห้ามคุยกัน
กลุ่มที่ 3 ให้นักศึกษาสามารถคุยกันได้ แต่ต้องวางกล่องทีละคน (กลุ่มข้าพเจ้า)
- อาจารย์ให้คิดสื่อคณิตศาสตร์ จากเศษวัสดุเหลือใช้มาทำเป็นสื่อ
*** ผลงานของแต่ละกลุ่ม ***
กลุ่มที่ 1
หุ่นยนต์
กลุ่มที่ 2 ตึกหลากสี (กลุ่มข้าพเจ้า)
กลุ่มที่ 3
สถานีรถไฟ
บรรยากาศในการเรียน
การนำสิ่งที่ได้รับไปปรับใช้
-ได้รับความรู้ในเรื่องของการทำสื่อ จากเศษวัสดุเหลือใช้มากขึ้น โดยการทำสื่อนั้นต้องทำออกมาแล้วใช้ได้คุ้ม ไม่จำเป็นต้องราคาแพง ซึ่งสามารถทำได้จากวัสดุเหลือใช้รอบๆตัว ได้รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม การรับฟังความคิดเห็นและสามารถทำตามกติกาได้
-อาจารย์ให้ทำสื่อคณิตศาสตร์จากเศษวัสดุเหลือใช้ (อาจารย์ยังไม่ได้กำหนดส่ง) โดยมีรายละเอียดดังนี้
กลุ่มที่1 ลูกคิด
กลุ่มที่2 ปฏิทิน
กลุ่มที่3 กราฟ (กลุ่มข้าพเจ้า)
กลุ่มที่1 ลูกคิด
กลุ่มที่2 ปฏิทิน
กลุ่มที่3 กราฟ (กลุ่มข้าพเจ้า)
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่5
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (EAED2204)
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
งานที่ได้รับมอบหมาย
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2555
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
เนื้อหาที่เรียน
- อาจารย์สอนขอบข่ายทางคณิตศาสตร์อ้างอิงของนิตยา ประพฤติกิจ 2541 (17-19)
1.การนับ คือจำนวนตัวเลข ลำดับที่
2.ตัวเลข เป็นสัญลักษณ์ทางคณิตสาสตร์
3.การจับคู่ เป็นการให้เด็กได้ดูรูปรางรูปทรงของสิ่งสองสิ่ง จำนวนที่เท่ากัน
4.การจัดประเภท การกำหนดเกณ
5.การเปรียบเทียบ ของสองสิ่ง
6.การจัดลำดับ การหาค่าเอาตัวเลขมาจัดลำดับ
7.รูปทรงและเนื้อที่ รูปทรง+ปริมาณ
8.การวัด การหาค่าของต่างๆเช่น ปริมาณ ความยาวความสั้น
9.เซต เช่น เซตของสิ่งต่างๆเช่นเครื่องสำอาง
10.เศษส่วน ทั้งหมด การแบ่งครึ่ง
11.การทำตามแบบหรือลวดลาย เช่น ให้เด็กเขียนตัวเลขตามเส้นประ
12.การอนุรักษณ์
การสอนคณิตศาสตร์แนวใหม่อ้างอิงของ เยาวพา เดชะคุปต์ 2542: 87-88
1.การจัดกลุ่มหรือเซต
2.จำนวน1-10
3.ระบบจำนวน
4.ความสัมพันธ์ระหว่างเซต
5.คุณสมบัติของคณิตศาสตร์จากการรวมกลุ่ม
6.ลำดับที่ การเรียงลำดับ
7.การวัด
8.รูปทรงเลขาคณิต
9.สถิติและกราฟ ทำการบันทึก ทำแผนภูมิ การเปรียบเทียบ การนำเสนอข้อมูล
1.การนับ คือจำนวนตัวเลข ลำดับที่
2.ตัวเลข เป็นสัญลักษณ์ทางคณิตสาสตร์
3.การจับคู่ เป็นการให้เด็กได้ดูรูปรางรูปทรงของสิ่งสองสิ่ง จำนวนที่เท่ากัน
4.การจัดประเภท การกำหนดเกณ
5.การเปรียบเทียบ ของสองสิ่ง
6.การจัดลำดับ การหาค่าเอาตัวเลขมาจัดลำดับ
7.รูปทรงและเนื้อที่ รูปทรง+ปริมาณ
8.การวัด การหาค่าของต่างๆเช่น ปริมาณ ความยาวความสั้น
9.เซต เช่น เซตของสิ่งต่างๆเช่นเครื่องสำอาง
10.เศษส่วน ทั้งหมด การแบ่งครึ่ง
11.การทำตามแบบหรือลวดลาย เช่น ให้เด็กเขียนตัวเลขตามเส้นประ
12.การอนุรักษณ์
การสอนคณิตศาสตร์แนวใหม่อ้างอิงของ เยาวพา เดชะคุปต์ 2542: 87-88
1.การจัดกลุ่มหรือเซต
2.จำนวน1-10
3.ระบบจำนวน
4.ความสัมพันธ์ระหว่างเซต
5.คุณสมบัติของคณิตศาสตร์จากการรวมกลุ่ม
6.ลำดับที่ การเรียงลำดับ
7.การวัด
8.รูปทรงเลขาคณิต
9.สถิติและกราฟ ทำการบันทึก ทำแผนภูมิ การเปรียบเทียบ การนำเสนอข้อมูล
บรรยากาศในการเรียน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียน อาจจะมีเพื่อนคุยกันบ้างแต่อาจารย์จะหยุดพูดและคอยเรียกเพื่อนๆที่คุยกันให้มาสนใจฟังที่อาจารย์สอน แต่เพื่อนๆส่วนใหญ่ตั้งใจฟังงานที่อาจารย์สอนเป็นอย่างดี
การนำสิ่งที่ได้รับไปปรับใช้
-ได้รับความรู้ในเรื่องของความหมายคำว่าคณิตศาสตร์และการฝึกเขียนภาษาอังกฤษในคำที่อยู่ใกล้ตัว เพื่อนำไปฝึกฝนตนเองให้ดียิ่งขึ้นได้
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่4
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (EAED2204)
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2555
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
ไม่มีการเีรียนการสอน เนื่องจากคณะศึกษาศาสตร์จัดงานกีฬาสีศึกษาศาสตร์สัมพันธ์
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
คณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย
คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
ผู้แต่ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัญชลี ไสยวรรณ
การจัดการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กควรเน้นการให้เด็กได้มีโอกาสจัดกระทำกับวัตถุประสงค์ต่างๆเพราะเด็กในวัยนี้เรียนรู้โดยอาศัยประสาทสัมผัสรับรู้และการเคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา การจัดการเรียนรู้เน้นให้เด็กได้พัฒนาประสาทสัมผัสให้มากที่สุดและกระตุ้นให้เด็กได้คิดและมีโอกาสจัดกระทำหรือลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆรวมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กได้สัมผัสแตะต้องได้เห็นสิ่งต่างๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆโดยผ่านประสาทสัมผัสแตะต้องได้เห็นสิ่งใหม่ๆซึ่งวิธีการดังกล่าวจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆรอบตัว
การจัดการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยหมายถึงการจัดสภาพการณ์ในชีวิตประจำวันของเด็กเป็นฐานการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งครูต้องวางแผนการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างดีประกอบด้วยกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กค้นคว้า แก้ปัญหา พัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์และความคิดรวบยอดที่เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ เด็กแต่ละวัยจะมีความสามารถเฉพาะเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริงบรรยากาศการเรียนต้องไม่เคร่งเครียดเด็กรู้สึกสบายๆในขณะเรียนเห็นความสัมพันธ์ของคณิตศาสตร์ในธรรมชาติบ้าน โรงเรียน กิจกรรมสอดคล้องกับชีวิตประจำวันและเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมจะช่วยพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์และความคิดรวบยอดได้ดีขึ้น
- การจำแนกประเภท
- การจัดหมวดหมู่
- การเรียงลำดับ
- การเปรียบเทียบ
- รูปร่างรูปทรง
- พื้นที่
- การชั่งตวงวัด
- การนับ
- การรู้จักตัวเลข
- รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนกับตัวเลข
- เวลา
- การเพิ่มและลดจำนวน
ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วยความสามารถต่างๆดังนี้
จำนวนและตัวเลข เด็กปฐมวัยหากได้เรียนรู้จากการปฏิบัติโดยการใช้สื่อของจริงจะส่งผลให้มีทักษะการรับรู้เชิงจำนวนเนื่องจากธรรมชาติได้สร้างให้สมองของเด็กมีบริเวณที่เกี่ยวข้อง กับการรับรู้เชิงจำนวน ส่วนของสมองอย่างน้อย 3 บริเวณที่เกี่ยวข้องกับทักษะการรับรู้เชิงจำนวน สองส่วนแรกอยู่ที่สมองทั้งซีกซ้ายและขวาเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ตัวเลข และบริเวณที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบจำนวน และบริเวณสุดท้ายอยู่ที่สมองซีกซ้ายคือ ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการนับปากเปล่าและความจำเกี่ยวกับจำนวน การคำนวณ โดยสมองทั้ง 3 ส่วนจะทำงานร่วมกัน พัฒนาการด้านการรับรู้เชิงจำนวนและคณิตศาสตร์เริ่มตั้งแต่ปฐมวัยและพัฒนาเรื่อยไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่3
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (EAED2204)
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
- อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มตอบคำถาม 5 ข้อ คือ
1. ความหมายของคณิตศาสตร์
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
เนื้อหาที่เรียน
- อาจารย์ให้จับกลุ่ม 3 คน แล้วแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากงานที่ได้ไปหาข้อมูลมาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ถ้าข้อมูลที่ไปหามาเหมือนกับเพื่อนในกลุ่มให้นำข้อมูลนั้นมาไว้เป็นอันดับแรก ข้อมูลที่ไม่เหมือนกันเอาไว้ส่วนท้าย เพื่อให้เกิดความหมายเดียวเป็นส่วนรวม เรียบเรียงเป็นประโยคของกลุ่มในแต่ละคนได้มาจากใครบ้างและทุกข้อต้องมีอ้างอิงด้วย- อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มตอบคำถาม 5 ข้อ คือ
1. ความหมายของคณิตศาสตร์
2. จุดมุ่งหมายของการสอนคณิตศาสตร์
3. การสอนหรือการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์
4. ขอบข่ายของคณิตศาสตร์
5. หลักการสอนคณิตศาสตร์
- อาจารย์ให้ตัวแทนของแต่ละกลุ่มออกมานำเสนองาน
จากการสรุป โดยสมาชิกในกลุ่ม ดังนี้
1.นางสาวฐาทินี ศรีจันทร์ เลขที่ 2
2.นางสาวนิภาพร หมื่นยุทธ เลขที่ 21
3.นางสาวจริยา วงศ์ดี เลขที่ 28
1.ความหมายของคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์ หมายถึง การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลใช้ในการวิเคราะห์การเรียนรู้การแก้ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกทั้งคณิตศาสตร์เป็นสิ่งประเทืองปัญญา ในวิชาที่ว่าด้วยการคำนวณ การคาดคะเน เลขคณิต พีชคณิต ตรีโกณมิติ เรขาคณิต ที่นำไปวิเคราะห์สภาพการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และเลือกใช้กลวิธีที่ใช้ในการศึกษาอย่างเหมาะสม
อ้างอิง:ความคิดเชิงวิเคราะห์,ผู้ช่วยศาสตร์ตราจารย์ศักดา บุญโต,2527
การสร้างชุดกิจกรรมการเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3,ชมนาด เชื้อสุวรรณทวี,2542
คณิตศาสตร์สำหรับครูประถมศึกษา,ผู้ช่วยศาสตราจารย์มยุรี ณะฤทธิ์,2538
2. จุดมุ่งหมายของการสอนคณิตศาสตร์
1. เพื่อให้นักเรียนเข้าใจแนวคิดความคิดรวบยอดเกียวกับคณิตศาสตร์อย่างสมบูรณ์ สามารถนำเอาไปเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและการเรียนรู้ได้
2. เพื่อให้รู้จักใช้ในกระบวนการหาคำตอบ สร้างพื้นฐานของการคิดคำนวณ ซึ่งอาจเรียกว่าความเข้าใจในคณิตศาสตร์
3. เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานคณิตศาสตร์ เรียนรู้แสดงความหมาย คำพูด สัญลักษณ์ เข้าใจศัพท์ ความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์
4. เพื่อฝึกฝนให้เกิดทักษะ สามารถแก้ปัญหาได้ ทำคณิตศาสตร์ได้
5. เพื่อให้เด็กมีความรู้และค้นคว้าทดลองหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง
อ้างอิง:นิตยา ประพฤติกิจ,2541,คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
สุรชัย ขวัญเมือง,2522,วิธีการสอนและวัดผลวิชาคณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษา
รองศาสตราจารย์วรรณี โสมประยูร,2540,เทคนิคการสอนคณิตศาสตร์สำเร็จรูป
3. การสอนหรือการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์
1. เด็กจะเรียนรู้จากการเล่นหรือกิจกรรม ฝึกแก้โจทย์ที่พบในชีวิตประจำวัน
2. ความรู้ทางคณิตศาสตร์ เกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนเกิดการนึกคิด แก้ปัญหา ทบทวน ตั้งสมาธิเพื่อเร้าความสนใจ
3. ตัวแปรทางคณิตศาสตร์ มีความสัมพันธ์ หลักการช่วยให้เด็กเข้าใจมโนมติทางคณิตศาสตร์ ควรใช้วิธีการหลายวิํธี
4. การเสนอมโนมติจากสภาพการณ์หลายสภาพที่จะนำไปใช้เด็กต้องเข้าใจสิ่งที่สามารถแทนได้หลายรูปแบบ
อ้างอิง:รองศาสตราจารย์ ดร.นพพร ธนะชัยขันธ์,2543
กองวิจัยทางการศึกษากรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ,2001
รองศาสตราจารย์ ดร.ประยูร อาษานาม,2537
4. ขอบข่ายคณิตศาสตร์
บุคคลที่มีความสำคัญที่สุด คือ ครูผู้สอน ซึ่งครูผู้สอนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก ครูจะต้องรู้ระดับการเรียนของเด็ก เพื่อที่จะได้เลือกวิธีสอนที่เหมาะสม กับเนื้อหา วัย และความสามารถของผู้เรียน ซึ่งอาจจะใช้สื่อที่เป็นรูปธรรม ประกอบคำอธิบาย ประกอบด้วยเนื้อหาสาระ ตัวเลขการนับ การบวก การลบ การคูณ การหาร
อ้างอิง:สุรชัย ขวัญเมือง,2522,วิธีการสอนและวัดประเมินผลวิชาคณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษา
สุวร กาญจนมยูร,2532,เทคนิคการสอนคณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษา
นิตยา ประพฤติกิจ,2542,คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
5. หลักการสอนของคณิตศาสตร์
1. ต้องสอนให้ผู้เรียนคิดเป็น คิดเร็ว
2. ต้องมีเทคนิคการสอนคณิตศศาสตร์ให้เร็ว
3. กำหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนให้ดี
4. ต้องจัดกิจกรรมการเรียนให้หลากหลายบ
5. จัดให้มีระบบและรู้จักการค้นพบ
6. การฝึกหัดต้องได้กระทำและเข้าใจ
อ้างอิง:สุวรกาญจนมยูร,2532,เทคนิคการสอนคณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษา
สุรชัย ขวัญเมือง,2522,วิธีการสอนและวัดผลวิชาคณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษา
บรรยากาศในการเรียน
การนำสิ่งที่ได้รับไปปรับใช้
-ได้รู้จักการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน การทำงานเป็นกลุ่ม รวมถึงการไปศึกษาค้นคว้างานอย่างถูกต้อง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอนาคตได้เป็นอย่างดี
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่2
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (EAED2204)
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
งานที่ได้รับมอบหมาย
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2555
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
เนื้อหาที่เรียน
- อาจารย์ให้เขียนภาษาอังกฤษ 3 คำ ดังนี้
คณิตศาสตร์ = Mathematics
ประสบการณ์ = Experiences
เด็กปฐมวัย = Early childhood
- อาจารย์อธิบายทฤษฎีของเพียเจต์
- อาจารย์อธิบายสิ่งรอบตัวที่เป็นคณิตศาสตร์
การรับรู้เกิดก่อนการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ เป็นเครื่องมือตัวหนึ่ง
บรรยากาศในการเรียน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียน อาจจะมีเพื่อนคุยกันบ้างแต่ก็ไม่ดังจนเกินไปเพราะอาจารย์ได้ทำข้อตกลงไว้ว่า ถ้านักศึกษาคุย อาจารย์จะหยุดพูด และเพื่อนๆตั้งใจฟังงานที่อาจารย์สั่ง
การนำสิ่งที่ได้รับไปปรับใช้
-ได้รับความรู้ในเรื่องของความหมายคำว่าคณิตศาสตร์และการฝึกเขียนภาษาอังกฤษในคำที่อยู่ใกล้ตัว เพื่อนำไปฝึกฝนตนเองให้ดียิ่งขึ้นได้
1.สำรวจหนังสือคณิตศาสตร์ในห้องสมุด(สำนักวิทยบริการ) โดยเขียนชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง ปีพ.ศ และเลขหมู่หนังสือ
2.ความหมายของคำว่าคณิตศาสตร์และหาชื่อคนเขียน ชื่อหนังสือ เลขหน้า เลขหมู่หนังสือ
3.จุดมุ่งหมาย การสอนคณิตศาสตร์
4. การสอนหรือการจัดประสบการณ์คณิตสาสตร์ (ทฤษฎี)
5. ขอบข่ายของคณิตศาสตร์
6. หลักการจัดประสบการณ์คณิตสาสตร์
เพิ่มเติม
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพียเจต์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ (Lall and Lall, 1983:45-54)
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ (Lall and Lall, 1983:45-54)
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
- ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น
- ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
-- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก
-- ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนการคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก - ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ โดยที่เด็กเข้าใจว่าของแข็งหรือของเหลวจำนวนหนึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปก็ยังมีน้ำหนัก หรือปริมาตรเท่าเดิม สามารถที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ส่วนรวม ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือ ความสามารถในการคิดย้อนกลับ นอกจากนั้นความสามารถในการจำของเด็กในช่วงนี้มีประสิทธิภาพขึ้น สามารถจัดกลุ่มหรือจัดการได้อย่างสมบูรณ์ สามารถสนทนากับบุคคลอื่นและเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี
- ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถที่จะคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎี และเห็นว่าความเป็นจริงที่เห็นด้วยการรับรู้ที่สำคัญเท่ากับความคิดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เด็กวัยนี้มีความคิดนอกเหนือไปกว่าสิ่งปัจจุบัน สนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมพัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษาไว้เป็นประสบการณ์ สำคัญที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น ได้แก่
1. ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute Differences) เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่มองเห็น
2. ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆ มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่
3. ขั้นรู้หลายระดับ (Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย
4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้
5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลง
6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน
ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่
กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังนี้
กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังนี้
- การซึมซับหรือการดูดซึม (assimilation) เป็นกระบวนการทางสมองในการรับประสบการณ์ เรื่องราว และข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
- การปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนการทางสมองในการปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากันเป็นระบบหรือเครือข่ายทางปัญญาที่ตนสามารถเข้าใจได้ เกิดเป็นโครงสร้างทางปัญญาใหม่ขึ้น
- การเกิดความสมดุล (equilibration) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นของการปรับ หากการปรับเป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความสมดุลขึ้น หากบุคคลไม่สามารถปรับประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เดิมให้เข้ากันได้ ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นในตัวบุคคล
การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
เมื่อทำงานกับนักเรียน ผู้สอนควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปํญญาของนักเรียนดังต่อไปนี้
- นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ 2 แบบคือ
- ประสบการณ์ทางกายภาพ (physical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่าง ในสภาพแวดล้อมโดยตรง
ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์ (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนได้พัฒนาโครงสร้างทางสติปัญญาให้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม
- หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
--เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้นักเรียนใช้ศักยภาพของตนเองให้มากที่สุด
--เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่
--เน้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ
--เน้นกิจกรรมการสำรวจและการเพิ่มขยายความคิดในระหว่างการเรียนการสอน
--ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities) โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนอกเหนือจากความคิดเห็นของตนเอง
- การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนควรดำเนินการดังต่อไปนี้
--ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ
--ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น
--ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ
--เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคำถามหรือจัดประสบการณ์ให้นักเรียนใหม่ เพื่อนักเรียนจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง
--ชี้ระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนจากงานพัฒนาการทางสติปัญญาขั้นนามธรรมหรือจากงานการอนุรักษ์ เพื่อดูว่านักเรียนคิดอย่างไร
--ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน
--ผู้สอนต้องเข้าใจว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในระดับความคิดขั้นต่อไป
--ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจำมากกว่าที่จะเข้าใจ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แท้จริง (pseudo learning)
ในขั้นประเมินผล ควรดำเนินการสอนต่อไปนี้ - --มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน
--พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอนคำถามนั้น ๆ
- --ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อร่วมชั้น
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่1
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (EAED2204)
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555
กลุ่มเรียน102 วันศุกร์ เวลา14:10-17:30น.
เนื้อหาที่เรียน
- อาจารย์ปฐมนิเทศในรายวิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยและข้อตกลงร่วมกันในการเรียนวิชานี้- อาจารย์ให้นักศึกษาสร้างบล็อก เพื่อสะสมผลงานในรายวิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย โดยอาจารย์จะตรวจทุกวันเสาร์ ห้ามเกินเวลา 17.00น.
- อาจารย์ให้นักศึกษาตอบคำถาม 2 คำถาม คือ คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยคืออะไร 2 ประโยคและ สิ่งที่คาดหวังที่จะได้รับจากการเรียนวิชานี้
รู้พัฒนาการ : เพื่อให้ทราบว่าเด็กต้องการอะไร เพื่อเราจะได้จัดประสบการณ์อย่างเหมาะสม
บรรยากาศในการเรียน
-เพื่อนๆตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงานที่อาจารย์สั่ง
การนำสิ่งที่ได้รับไปปรับใช้
-สามารถนำความรู้ในด้านของการคิดวิเคราะห์ไปพัฒนาตนเองได้และได้รู้จักตั้งเป้าหมายให้กับตนเองในการเรียน เพื่อนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)